มัมมี่ (Mummy)
จัดทำโดย นายทวีทรัพย์ จูมศิลป์ เลขที่ 1 ชั้น ม.5/1

ในอียิปต์โบราณมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตหลังความตาย เกี่ยวกับการหวนกลับคืนร่างของวิญญาณ โดยมีความเชื่อว่าเมื่อวิญญาณออกจากร่างไปชั่วระยะเวลาหนึ่งจะหวนกลับคืนสู่ร่างเดิมของผู้เป็นเจ้าของ จึงต้องมีการถนอมและรักษาสภาพของร่างเดิม โดยการแช่และดองด้วยน้ำยาบีทูมิน ซึ่งจะช่วยรักษาและป้องกันไม่ให้ซากศพเน่าเปื่อยผุผังไปตามกาลเวลา
วิธีทำมัมมี่

1. embalming เป็นวิธีรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อย
2. wrapping เป็นวิธีพันผ้าศพหลังผ่านขั้นตอนแรก
ทั้งสองขั้นตอนใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 70 วัน โดยสัปเหร่อต้องสวมหน้ากากหมาไน ซึ่งเป็นเศียรของเทพ Anubis อันเป็นเทพที่ทำหน้าที่สัปเหร่อนั่นเอง ต้องใส่สมุนไพรที่หน้ากากขณะทำงานเพื่อกลบกลิ่นศพ
ขั้นตอนแรกของ embalming คือวางศพไว้บนเตียงหินมีขอบ ปลายเตียงที่มีรูให้ของเหลวที่เกิดจากการทำศพไหลลงภาชนะที่วางไว้บนพื้น จากนั้นจึงทำความสะอาดศพด้วย palm wine และสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม แล้วล้างด้วยน้ำจากแม่น้ำไนล์อีกครั้ง ตามด้วยผ่าท้องบริเวณสีข้างหรือบั้นเอวด้านซ้ายด้วย sharp stone แล้วดึงอวัยวะภายในออก อวัยวะเหล่านี้เป็นแหล่งที่มีเชื้อ bacteria จำนวนมาก โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วย bacteria ที่เป็นสาเหตุให้ลำไส้ใหญ่เน่าก่อนแล้วลุกลามให้ส่วนอื่นของศพเน่าตามมา
อวัยวะที่นำเอาออกมาได้แก่ กระเพาะอาหาร ปอด ตับ ลำไส้ ส่วนหัวใจ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย ที่ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า เป็นศูนย์กลางของจิตวิญญาณ ความเฉลียวฉลาดและความรู้สึกนึกคิด ให้คงไว้ในศพ อันที่จริงยังมีม้าม ไต รังไข่และมดลูกที่ไม่ได้นำออกมา
นับว่าชาวอียิปต์โบราณมีวิทยาการสูงทีเดียว อวัยวะที่นำออกมาล้วนเป็นอวัยวะที่อาจมีเชื้อ bacteria และเน่าก่อนอวัยวะอื่น ทำให้พลอยลุกลามเน่าไปทั้งตัว อาจทำให้ทำมัมมี่ไม่สำเร็จ
ส่วนเนื้อสมองนั้น แต่เดิมไม่ได้นำออก เมื่อศพแห้งสมองสูญเสียของเหลวจึงแห้งเหี่ยวเป็นก้อนกลิ้งอยู่ในกะโหลก เวลาเคลื่อนศพมีเสียงดัง ต่อมาจึงมีการนำเนื้อสมองออกมา โดยใช้เหล็กที่มีปลายเป็นตะขอสอดเข้าไปทางรูจมูก ผ่านฐานกะโหลกส่วน ethmoid ซึ่งเป็นส่วนที่บางที่สุด เพื่อตีเนื้อสมองให้แตก แล้วคว่ำหน้าให้เนื้อสมองไหลออกมาทางจมูก เรียกวิธีนี้ว่า transethmoidal excerebration หลังจากนั้นจึงใส่น้ำมันดิน bitumen ที่ต้มจนเดือดเข้าไปแข็งตัวในกะโหลก บ้างก็ใช้ resin
อวัยวะต่างๆที่นำออกมาจากศพ จะถูกล้างให้สะอาดแล้วกลบด้วยสารที่เรียกว่า natron ซึ่งเป็น native sodium carbonate และ sodium bicarbonate ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดสารน้ำได้ดี เมื่ออวัยวะเหล่านี้แห้งแล้ว จึงห่อด้วยผ้าแล้วเก็บในโถ (canopic jar) ที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็งหรือหินสลัก ฝาโถสลักเป็นเศียรของเทพ 4 องค์ที่เป็นบุตรของเทพ Horus (เทพสูงสุดที่ชาวอียิปต์โบราณนับถือ) คือ
- ตับบรรจุในโถ Imsety เทพที่มีเศียรเป็นคน
- ปอดบรรจุในโถ Hapy เทพที่มีเศียรเป็นบาบูน
- กระเพาะอาหารบรรจุในโถ Duamutef เทพที่มีเศียรเป็นหมาไน
- ลำไส้บรรจุในโถ Qebehsenuef เทพที่มีเศียรเป็นเหยี่ยว
โถทั้ง 4 นี้ถูกเก็บไว้ในกล่องที่ถูกปกปักรักษาด้วยเทวี 4 องค์ คือ Isis, Nephthys, Selket, Neith โดยทำเป็นรูปสลักวางอยู่ที่มุมกล่องมุมละองค์ เป็นรูปเทวีทั้ง 4 กางปีกเพื่อปกป้องอวัยวะในโถ กล่องนี้ถูกเก็บไว้ในสุสานพร้อมศพ
ตัวศพก็เช่นเดียวกันคือ ใส่ natron เข้าไปในช่องท้อง แล้วจึงกลบด้วย natron อีกชั้น มีการเปลี่ยน natron ทุก 3 วัน และใช้ระยะเวลา 40-60 วัน ศพก็จะแห้งสนิท ส่วนของเหลวที่เกิดจากการทำศพจะไหลออกทางรูที่ปลายเตียงลงสู่ภาชนะที่รองอยู่ด้านล่าง และถูกเก็บไว้เพื่อฝังไปพร้อมศพ
เมื่อครบกำหนดจึงล้างศพด้วยน้ำจากแม่น้ำไนล์ จากนั้นทาผิวด้วยน้ำมันเพื่อให้มีความยืดหยุ่น แล้วตกแต่งศพด้วยลูกตาเทียม ถ้าผู้ตายมีเศรษฐานะดีอาจติดขนคิ้วด้วยเส้นผม ใส่ผมปลอม หรือแต่งเล็บด้วยทองคำประดับพลอย อาจอัดเมล็ดพริกไทยเข้าไปในจมูกเพื่อป้องกันจมูกบี้ บ้างก็อัดลินินในช่องปากเพื่อให้แก้มเต่ง
ประมาณปี 1000 BC จึงเริ่มมีการห่ออวัยวะภายในด้วยลินิน บรรจุกลับเข้าไปในช่องท้อง แล้วอัดด้วยขี้เลื่อย ใบไม้แห้ง หรือลินิน เพื่อให้สภาพใกล้เคียงกับเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ส่วนโถทั้ง 4 แม้ไม่ได้ใช้บรรจุอวัยวะภายในแล้ว ยังคงถูกเก็บไว้ในสุสานดังเดิม

หลังจากนั้นต้องทำพิธีเปิดปาก เปิดตา ด้วยความเชื่อว่าเพื่อให้มัมมี่มองเห็น กินอาหารและดื่มน้ำได้นั่นเอง แล้วจึงบรรจุในโลงศพ (coffin) ที่มีลักษณะคล้ายรูปร่างคน 3 ชั้น แล้วจึงวางลงในโลงศพหิน (sarcophagus) เขียนรูปผู้ตายไว้ที่ฝาโลงหินเพื่อให้วิญญาณที่เรียกว่า Ka กลับร่างเดิมได้ถูกต้องขณะฟื้นคืนชีพ
จะเห็นว่าการทำมัมมี่ใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูง ผู้มีเศรษฐานะดีเท่านั้นที่ทำได้ ส่วนผู้มีเศรษฐานะต่ำอาจใช้วิธีทำหุ่นเหมือนผู้ตายแทนการทำมัมมี่ก็ได้
ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่านอกจากร่างกายแล้วยังมีจิตวิญญาณ เรียกว่า unseen twin ประกอบด้วย Ka หมายถึง spirit และ Ba หมายถึง soul
Ba หรือ soul คือดวงวิญญาณที่มีลักษณะเป็นนกตัวเล็กๆ มีหัวเหมือนผู้ตายบินวนเวียนรอบๆมัมมี่ ส่วน Ka หรือ spirit เป็นดวงจิตที่ตายไปพร้อมกับร่างกาย จึงต้องทำมัมมี่หรือสร้างรูปเหมือนไว้ให้ Ka อาศัยอยู่ มัมมี่นับเป็นรูปเหมือนที่ดีที่สุด ต้องจัดอาหารให้ด้วย เพราะเชื่อว่าไม่เช่นนั้น Ka ก็จะตายไปพร้อมร่าง เมื่อกลับมาเกิดใหม่ Ka และ Ba ก็จะมารวมกันกับร่างที่เตรียมไว้ เพื่อฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้ง
เรื่องของมัมมี่เป็นที่สนใจในวงการแพทย์มาช้านาน เหตุเพราะต้องศึกษาโดยให้มัมมี่คงสภาพเดิม จึงไม่สามารถผ่าออกมาศึกษาได้ ทำให้นักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ในอดีตสามารถศึกษาร่างของมัมมี่ได้ในวงจำกัด โดยศึกษาทาง x-ray และส่องกล้อง (scope)
ครั้นเมื่อวิทยาการทางการแพทย์เจริญก้าวหน้าจนมีเครื่อง MRI ในปัจจุบัน จึงสามารถศึกษามัมมี่ได้ละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น โดยเฉพาะส่วนของกะโหลก ทำให้ทราบวิธีทำมัมมี่ละเอียดขึ้น ตัวอย่างเช่น ทราบว่ามีทั้งที่เก็บสมองไว้ และเอาสมองออกด้วยวิธี transethmoidal excerebration คือเห็นรูที่ฐานกะโหลกศีรษะบริเวณเหนือโพรงจมูกจากเครื่อง MRI เป็นต้น
นอกจากนี้ยังพบโรคต่างๆและสาเหตุการตายของชาวอียิปต์โบราณ เช่น เพดานโหว่ (cleft palate) กะโหลกแตก (fracture skull) โพรงอากาศที่กะโหลกอักเสบ (mastoiditis) โรคเหงือกและฟัน
โรคที่พบบ่อยในอียิปต์โบราณ มีโรคตา พยาธิ วัณโรค (TB) เกาต์ (gout) โรคไขข้อ (rheumatism) ฝีดาษ (smallpox) โรคทางนรีเวช (women’s disease)
ส่วนยาที่ใช้ได้แก่ ขี้ผึ้ง (ointment) ยาน้ำ (potions) ยาเม็ดที่ทำจากสมุนไพร ไขมัน เลือด อวัยวะสัตว์ น้ำผึ้ง เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าอียิปต์ยุคโบราณ มีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการสูงทีเดียว มัมมี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีด้านศิลปะ สถาปัตยกรรม วิหารขนาดใหญ่ สมบัติล้ำค่ามากมายมหาศาลที่เก็บไว้ในสุสานเตรียมไว้ใช้ในโลกหน้าของตุตันคาเมนอันลือชื่อ เป็นสุสานนี้ซ่อนอยู่ในหุบผากษัตริย์ จึงหลุดรอดสายตาโจรขโมยหลงเหลือให้เห็นในปัจจุบัน
บรรณานุกรม
ประสิทธิ์ วงศ์สุการ. มัมมี่,วิธีการทำมัมมี่. 12กรกฎาคม 2549. http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%88 6 สิงหาคม 2554.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น