วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อาชีพช่างภาพแฟชั่น

 อาชีพช่างภาพแฟชั่น
จัดทำโดย  นายปรัชญา  ขจรนาด เลขที่ 2

   ช่างถ่ายภาพ คือบุคคลที่มีความชำนาญในการถ่ายภาพโดยใช้กล้อง และบุคคลประเภทนี้อาจจัดได้ว่าเป็นศิลปิน เนื่องจากพวกเขาสามารถจัดวางองค์ประกอบ (composition) ที่จะปรากฏในรูปภาพก่อนลงมือถ่าย คล้ายกับวิธีของศิลปินวาดภาพทั่วไป แต่เป็นศิลปินที่วาดภาพด้วยแสง หรือ อาจจะจัดเป็นเพียงแค่ช่างผู้มีความชำนาญเท่านั้น ช่างภาพ เกิดขึ้นพร้อมกับการคิดค้นกล้องถ่ายภาพ เมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว
ในความเป็นจริง ช่างภาพจำเป็นต้องเข้าใจ "แสง" และ "องค์ประกอบ" จึงจะสามารถถ่ายภาพออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบและสวยงามได้ ซึ่งจะเกี่ยวกับทฤษฎีของแสงในฟิสิกส์โดยตรง แต่ช่างภาพนำคุณสมบัติของแสงมาประยุกต์ใช้ให้เป็นศิลปะได้
ช่างภาพ อาจมีวิธีในการนำเสนองานของตนที่แตกต่างกันไปตามความคิดและจินตนาการของตน ซึ่งผลงานนั้นอาจไม่ถูกต้อง หรือสวยงามตามมุมมองของคนทั่วไป ดังนั้นในการพิจารณาว่าผลงานของใครดีหรือไม่ดีจึงไม่เป็นการเหมาะสมนักที่จะใช้ทัศนคติส่วนตัวประเมิน
ความหมายของการถ่ายภาพความหมายของการถ่ายภาพ (Photography) อาจกล่าวถึงได้ในเชิงวิทยาศาสตร์ในแง่ของกระบวนการหักเห และการสะท้อนของแสง เพื่อบันทึกลงบนฟิล์มโดยการใช้ปฏิกิริยาเคมีของสารไวแสง แล้วนำไปผ่านกระบวนการทางฟิสิกส์และเคมี  เพื่อให้ได้มาซึ่งภาพถ่าย หรืออาจกล่าวในแง่ของศิลปะ โดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ บันทึกภาพแสง เงา เส้นและสี จัดเป็นองค์ประกอบ ให้ได้ภาพถ่ายที่สวยงาม ตามวัตถุประสงค์ มีการกล่าวถึงความหมายของการถ่ายภาพไว้หลายแนวคิด เช่นอาเธอร์ โกลด์สมิธ ให้ความหมายของการถ่ายภาพว่า โฟโตกราฟี่ (Photography) มาจากคำในภาษากรีก 2 คำคือ โฟโต (Photo) หมายถึง แสงและคำว่า กราฟ (Grahp) หมายถึง การวาดภาพ การถ่ายภาพจึงหมายถึง การวาดภาพด้วยแสง เมื่อต้องการภาพถ่าย แสงจากดวงอาทิตย์จะถูกนำมาบันทึกภาพวัตถุหรือเหตุการณ์ลงบนพื้นผิวที่ฉาบด้วยวัสดุไวแสงจึงเรียกภาพถ่ายว่า รูปภาพแสงอาทิตย์ เพราะแสงอาทิตย์ถูกนำมาใช้ในการสร้างภาพ เจน แอนเดอร์สัน และคนอื่นๆ ได้ ให้ความหมายของการถ่ายภาพว่าหมายถึง การบันทึกสิ่งที่มองเห็นบนพื้นผิววัตถุที่สามารถเก็บแสงไว้ได้ อาจเป็นพลาสติก กระดาษ แก้วหรือโลหะที่ฉาบด้วยเกลือเงิน (SilverSalts) และเจละติน Gelatin) ซึ่งเป็นสารไวแสง   วิลเลี่ยม แอล บล็อคเกอร์ ได้ให้ความหมายของการถ่ายภาพว่า การถ่ายภาพเป็นผลผลิตของการมองเห็นโดยปฏิบัติการของแสงไมเคิล แลงก์ฟอร์ด กล่าวว่า การถ่ายภาพมีพื้นฐานมาจากการผสมผสานของปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ จินตนาการและการออกแบบทักษะในงานฝีมือและความสามารถในการจัดระบบไมเคิล บรัสเซล กล่าวว่า การถ่ายภาพเป็นการนำหลักสำคัญ2ประการมารวมกันคือ การทำให้เกิดภาพจำลองของวัตถุ ปรากฏบนฉากรองรับและใช้สื่อกลางในการบันทึกภาพของวัตถุนั้นให้ปรากฏอยู่ได้อย่างคงทนถาวรจอห์น เฮดจโค ให้ความหมายของการถ่ายภาพว่า เป็นกระบวนการสร้างภาพโดยอาศัยแสงสว่าง แสงจะสะท้อนจากวัตถุไปยังวัสดุไวแสง ผ่านกระบวนการทางเคมีปกดิ เป็น ภาพของวัตถุ คำว่า Photography มาจากภาษากรีกหมายถึง การเขียนหรือการวาดภาพด้วยแสง ภาพถ่ายเกิดจากการใช้แสงในการวาดภาพจาคอบ อี เซฟรา อธิบายว่า Photographyมาจากคำว่า โฟโตส (Photos) ในภาษากรีกแปลว่า แสงสว่าง ส่วนคำว่า กราโฟส(Graphos) แปลว่า การเขียน การถ่ายภาพจึงหมายถึง การบันทึกภาพที่มองเห็นโดยอาศัยแสงและวัสดุไวแสงสารานุกรมกรอเลีย อธิบายว่า Photography มาจากภาษากรีกคือ โฟส (Phos) หมายถึง แสงและกราเฟียน (Graphein)หมายถึง การวาด การถ่ายภาพจึงหมายถึง ภาพ ขาว – ดำ หรือภาพสี ที่ถูกบันทึกไว้โดยปฏิบัติการของพลังงานของแสงบนวัสดุที่มีเยื่อไวแสงฉาบไว้ซึ่งจะอธิบายความหมายของการถ่ายภาพดังนี้


1. การจัดรูปแบบของแสงและเงา ซึ่งตกกระทบลงบนพื้นผิววัตถุที่มีความไวต่อการเกิดปฏิกิริยาของแสง หรือเกิดจากกระบวนการจัดรูปแบบของแสงและเงา  จากการทำปฏิกิริยาของแสงหรือการแพร่กระจายของแสงในรูปแบบอื่นๆ  ที่ต่างออกไป บนพื้นผิวของวัตถุที่มีความไว  ต่อการเกิดปฏิกิริยาของแสง
2. ศิลปะหรือกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของการเกิดภาพถ่ายจาก แสง, เงา และสี ที่ตรงข้ามกับความจริง
3.การใช้วิธีการทางฟิสิกส์และเคมี เกี่ยวกับแสงและเงา มาผสมผสานกับอารมณ์ของศิลปินนักถ่ายภาพ เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกและค่านิยมของศิลปินไปสู่ผู้ชม โดยใช้แสงเงาและสีของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แทนการวาดภาพของจิตรกรจากแนวคิดดังกล่าวพอสรุปได้ว่าการถ่ายภาพหมายถึง การสร้างภาพให้เกิดขึ้นโดยอาศัยแสงสว่างมากระทบกับพื้นที่มีความไวต่อแสง ทำให้เกิดภาพถ่ายที่มีสี แสง และเงาเหมือนจริง ในการถ่ายภาพต้องอาศัยปัจจัยสำคัญ 3 ประการคือ แสง กล้องถ่ายภาพและวัสดุไวแสงหรือฟิล์ม
ความเป็นมาของการถ่ายภาพ
การถ่ายภาพได้มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ก่อนที่จะมีกล้องถ่ายภาพเพื่อการบันทึกภาพให้เหมือนจริง มนุษย์ในสมัยโบราณใช้การขีดเขียนตามผนังถ้ำเพื่อบันทึกเหตุการณ์ เรื่องราวที่ได้พบเห็นและใช้ในการสื่อความหมาย ซึ่งภาพที่ได้นั้นไม่เหมือนจริงตามธรรมชาติ มนุษย์จึงพยายามค้นหาวิธีการที่จะทำให้ภาพ มีความสมบูรณ์เหมือนจริงมากขึ้น โดยมีการพัฒนามาโดยลำดับ ดังนี้
1. แนวคิดเริ่มต้น (The Initial Idea)
อริสโตเติล (Aristotle) นักวิทยาศาสตร์ชาวกรีก ได้บันทึกไว้ว่า ถ้าปล่อยให้แสงผ่านเข้าทางช่องเล็กๆ ในห้องมืดที่เจาะรูไว้อีกด้านหนึ่ง เมื่อแสงผ่านรูเล็กๆ นั้นไปจะทำให้เกิดภาพจริงหัวกลับ ระหว่างปี ค.ศ. 1700 - 1800 จึงได้มีการผลิตกล้องรูเข็มโดยนักปราชญ์ชาวกรีกชื่อ อัลฮาเซน (Alhazen) และฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon)มีลักษณะเป็นห้องมืดที่มีรูเล็ก ๆ ที่ฝาข้างหนึ่ง เมื่อแสงผ่านรูนี้แล้วจะทำให้เกิดภาพจริงหัวกลับบนฝาผนังด้านตรงข้ามและวิวัฒนาการมาเป็นกล้องออบสคิวรา (Obscura) โดยมีการนำเลนส์ (Lens) และช่องรับแสง (Aperture) มาเพิ่มในตัวกล้อง เพื่อให้เกิดภาพบนแผ่นฟิล์มด้านหลังกล้อง มีความชัดเจนและกล้องก็มีขนาดเล็กลง น้ำหนักเบาเคลื่อนย้ายสะดวกช่วยให้ศิลปินสามารถลอกแบบวาดภาพฝาผนังและภาพสถาปัตยกรรมได้ง่ายขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น